mahesak blog

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

stock buying technique

เทคนิคง่ายๆ(ที่มีในหนังสือ) …การเข้าซื้อหุ้นดีที่(เรา)คิดว่าแพงvote

เทคนิคง่ายๆ(ที่มีในหนังสือ) …การเข้าซื้อหุ้นดีที่คิดว่าแพง

หลายๆท่านคงเคยจับตามองหุ้นยอดนิยมที่คนเล่นกันมากๆเช่น HMPRO(ผมซื้อแล้วครับ 8.75, 8.80, 8.85..และก็ไม่ได้เชียร์), CPF, CPALL ฯลฯ แล้วล้วนแต่มีคำถามในใจว่า
อยากจะเข้า แต่ก็แพงเกินไปแล้ว รอย่อมาหน่อยก็ดี...แต่มันก็ไม่เคยย่อมาให้ซื้อสักที(หรือย่อนิดหน่อย ยังไม่โดนใจ)....จนแล้วจนรอด ไม่ว่าค่า P/BV จะสูงเกินคาด(ที่เราคิด)ไปเท่าไหร่ๆ มันก็ยังขึ้นของมันอยู่อย่างงั้นๆเสมอ
จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เข้าสักที ....พอมองย้อนหลังก็ได้แต่คิดว่า รู้งี้(ตรู)ซื้อตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้ว สามวันที่แล้ว หรือเมื่อวานที่ผ่านมาซะก็ดี....ลองดูวิธีนี้ดูครับ

1.ตั้งเป้าว่าจะซื้อสักเท่าไหร่ ผมสมมุติว่า 100,000 บาทหล่ะกัน.. (เพิ่ม/ลดตาม ratio ของความตั้งใจของท่านเองนะครับ)

2.ซื้อครั้งแรก 32,000.- (ค่าคอมฯพอดีขั้นต่ำ) แล้วรอดูว่ามันขึ้น ทรง หรือลง....ถ้าทรงหรือลง ถือรอ อย่าซื้อเพิ่มเด็ดขาด ถ้าลงเรื่อยๆเกิน 6-7 % ขายทิ้งทันทีไม่มีอิดออด แย่ที่สุดท่านจะขาดทุนเพียงประมาณ 2,000 บาท…ถ้าเราผ่าน step นี้ได้ ต่อไปจะง่ายและไม่เครียด...
........มาดูกันต่อ

3.ถ้าขึ้น...รอกำไรสัก 3-4% ค่อยซื้อเพิ่มอีก 20,000-30,000 บาท(อย่าเสียดายค่าคอม) แล้วรอดู ถ้ามันลงอีก คราวนี้ก็รอดู...อย่าให้ขาดทุนรวมเป็นใช้ได้…step นี้ cut loss ที่ขายแล้วได้เท่า ต้นทุนรวม..คือ step นี้จะไม่ยอมให้ขาดทุนเป็นอันขาดครับ(แต่หุ้นดี ส่วนใหญ่จะขึ้น)

4.ถ้าจาก 3. ที่เราไม่เจ๊าซะก่อน...คราวนี้ยิ่งง่ายใหญ่ ถ้ามันขึ้นต่อของต้นทุนรวม ก็ทยอยซื้อเลย ครั้งละ 20,000-30,000 บาท เช่นเคย....แต่คราวนี้ต้องตั้งกำไรก่อนคัทก่อนมันจะเท่าทุนได้แล้ว...เช่นถ้ามันลงแล้วกำไรเหลือ 1-2% ต้องขายทันที ก่อนจะไม่ได้อะไรเลย(ต้นทุนรวมเราเพิ่มขึ้น %กำไรจะลดลง แต่ยอดเงินที่เป็นกำไรจริงๆของเราจะมากตามต้นทุนที่เราเพิ่มเข้าไป)

5.ยึดหลักการตามข้อ 4. ทยอยซื้อเรื่อยๆจนครบ 100,000 ที่ตั้งใจไว้ หรือมากกว่าก็ได้ ถ้าทัพหน้าชนะแล้ว..........................แล้วจะถือยาวเท่าที่ยังมีกำไร หรือหาจังหวะขายตามความเหมาะสม

สรุป....วิธีนี้ข้อดีคือ
@ถ้าแย่ เราจะขาดทุนในการลงทุนที่ตั้งใจไว้ 100,000.- เพียง 2,000.- เท่านั้น...แต่ถ้าเราทุ่มทีเดียวครั้งแรกเลย 100,000.- เราจะขาดทุนถีง 6-7 พันบาท (ณ จุด cut loss)

@@ ข้อเสีย ถ้ามันขึ้นพรวดๆๆๆ กำไรเราจะน้อยกว่าการลงทุนทุ่มทีเดียว 100,000. ไปเลย....แต่ความแลกมาด้วยความปลอดภัยและความสบายใจครับ

@@@ ที่สำคัญ ในขั้นตอนข้อ.2 ห้ามซื้อเพิ่มถ้ามันราคาลงเด็ดขาด ...ส่วน 3. , 4. , 5. ยังพอซื้อได้ตอนมันย่อ แต่จุด cut loss ต้องไม่ขาดทุนหรือเป็นไปตามที่กำหนดนะครับ

......ลองดูพิจารณาดูครับ....อ้อหลักการนี้(ผมจำมาจากหนังสือ) สามารถใช้ได้กับหุ้นอื่นๆทั่วๆไปอีกด้วยนะครับ....

วันเสาร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เหตุผลในการซื้อหรือขายหุ้น

แนวโน้มตลาดหุ้น ตอนนี้ เป็นแบบเรื่อยๆ ต้องเลือกหุ้นตัวที่มี volume และมีแต่ข่่าวดีเกี่ยวกับผลประกอบการ มีการขยายตัวที่หวังจะเพิ่มความสามารถในการสร้างกำไรที่สม่ำเสมอ CEO เก่ง ดูแลผู้ถือหุ้นอย่างดี ไม่ขายหุ้นของตัวเองออกเลย เนื่องจากมองการณ์ไกลว่า ธุรกิจของตนจะดีขึ้นเรื่อย


CPALL
ซื้อมาเพราะ ดูว่าเป็นธุรกิจที่ใช้เงินชาวบ้านมาลงทุนแบบไม่เสียค่าใช้จ่ายมาก มีเจ้าหนี้การค้ามากกว่าลูกหนี้การค้า เวลาของสินค้าคงคลังก็น้อย หนี้สินระยะสั้นต่ำ แต่ปัญหาก็คือ P/E ที่สูงมากแล้ว ทำให้ย่อยกล้าๆกลัว เพราะไม่เร้าใจ ราคาหุ้นจึงค่อยๆปรับตัว ไม่หวือหวา ไม่ตื่นเต้น ธุรกิจทำกำไรมาโดยตลอด

จะขายเมื่อ
1.พื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนไป เช่น ไม่ได้ต่อสัญญากับทางอเมริกา
2.กำไรเกิน 10เปอร์เซนต์

IVL
ซื้อเมื่อ
1.เปิดตลาดวันจันทร์ ทันที ATO 4500 หุ้น
2.ซื้อเพิ่มทีละ400หุ้น จนครบสองแสนเมื่อราคาย่อลงมาครั้งละ 2 spread(.50baht)
ซื้อเพราะ
พื้นฐานตลาดดี มีโวลุ่มเข้ามาเยอะและบ่อย ส่วนใหญ่ให้ความนิยม และไม่มีข่าวร้าย ถึงแม้ว่าราคาจะขึ้นมามากแล้ว แต่ยังมี upside gain อยู่อีกมาก

ขายเมื่อ
1.พื้นฐานของธุรกิจเปลี่ยนไปในเชิงลบ เช่น เสี่ยงทำธุรกิจที่ไม่ถนัด หรือราคาน้ำมันแพงขึ้นมากเกินไป
2.volume การขาย ลดลงอย่างมีนัย(50%) ติดต่อกันเกินกว่า 5 วัน
3.กำไรเกิน 50%
4.ขายครั้งละ 30 %

TRUBB
ขายเหลือครึ่งพอร์ต เพื่อลดความเสี่ยง ขาดทุนอยู่แล้ว

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

evaluating a business by dekisugi

เวลาพูดว่า บริษัทหนึ่งมี “ปัจจัยพื้นฐาน” ดีหรือไม่ดีนั้น เราดูจากอะไร?

ก่อนอื่นต้องขอเน้นว่า คนที่คิดจะลงทุนโดยวิธีดูปัจจัยพื้นฐานนั้น จะต้องเป็นคนที่มีระยะหวังผลตอบแทนที่ยาวๆ (เป็นปีๆ) เท่านั้น เหตุเพราะ ปัจจัยพื้นฐานของบริษัทมักเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวบริษัทอยู่เป็นเวลานาน ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงง่าย ดังนั้น มันจึงแทบไม่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในระยะสั้นเลย (หรือแม้แต่ผลกำไรในระยะสั้นก็ตาม) ถ้าเราวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของหุ้นตัวหนึ่งว่าดีแล้วเข้าซื้อจากนั้นราคาหุ้นก็ปรับตัวขึ้นได้เลย ส่วนใหญ่แล้วมาจากความบังเอิญแท้ๆ เพราะปัจจัยพื้นฐานที่ดีมักเป็นเรื่องที่เป็นมาก่อนหน้าที่เราจะพิจารณาแล้ว บริษัทไม่รู้หรอกว่า เราเข้ามาซื้อตอนไหน มันจึงไม่จำเป็นต้องขึ้น หลังจากที่เราซื้อเลย

ถ้าใครมีระยะหวังผลสั้น (เช่น <1ปี)>

การลงทุนที่มีระยะหวังผลแบบยาวนั้น เราไม่ได้มองหาหุ้นที่ “ซื้อแล้วขึ้นเลย” แต่เรามองหาหุ้นที่ ถ้าสมมติว่า เราซื้อแล้ว”ซวย” มันดันเป็นขาลงพอดี มันจะต้องที่มีโอกาสสูงที่ ถ้าหากเราถือต่อไปอีก มันจะกลับมาสูงกว่าเดิมได้อีก หุ้นลักษณะนี้ต่างหากที่น่าสนใจลงทุนในระยะยาว

เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว เราย่อมคิดได้โดยอัตโนมัติด้วยว่า หุ้นที่เหมาะกับการลงทุนระยะยาวต้องเป็นหุ้นของกิจการที่มีโอกาสเจ๊งต่ำๆ และในเวลาเดียวกัน ก็ต้องมีโอกาสที่กิจการจะเติบโตใหญ่ไปเรื่อยๆ ในระยะยาวๆ ด้วย เพราะกิจการลักษณะนี้ย่อมกลับมาทำกำไรสูงสุดได้อยู่เรื่อยๆ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสที่ราคาหุ้นจะกลับมาสูงขึ้นอีกได้ใหม่อยู่เรื่อยๆ คุณสมบัติเช่นนี้ช่วยทำให้ผลตอบแทนของเราไม่จำเป็นต้องพึ่งพาภาวะตลาดในระยะสั้นพวกมันจึงเป็นหุ้นที่ทำให้เราตอบคำถามตัวเองได้ว่าทำไมเราจะต้องยอมถือพวกมันไว้นานๆ แทนที่จะเอาเม็ดเงินไปทำอย่างอื่นด้วย

และปัจจัยที่จะใช้บอกว่าหุ้นมีปัจจัยพื้นฐานดีหรือไม่ ก็ควรเป็นปัจจัยที่ช่วยบ่งชี้ถึงคุณสมบัติที่กล่าวมานี้นั่นเอง ผมลองนั่งนึกดูว่า ที่ผ่านมา เวลาผมตัดสินปัจจัยพื้นฐานของหุ้น ผมมักจะดูจาก 8 ประเด็นนี้เป็นปัจจัยหลัก

1.บริษัทขายสินค้าที่ต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงบ่อยหรือไม่?

แต่ละอุตสาหกรรมมีวงชีวิตของมันอยู่ อุตสาหกรรมเหล็กมีอายุนับหลายร้อยปี และนานครั้งกว่าที่จะมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเกิดขึ้นกับอุตสาหกรรมนี้ เหล็กก็คือเหล็ก มนุษย์ชาติยังต้องบริโภคเหล็กหน้าตาแบบเดิมๆ ไปอีกนาน การเปลี่ยนแปลงมักเป็นแบบทีละนิดเล็ก บริษัทปรับตัวตามได้ง่าย ไม่ใช่แบบหน้ามือเป็นหลังมือ ล้างไพ่ใหม่หมด

ในขณะที่ ธุรกิจบันเทิงต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เพราะรสนิยมและสื่อสมัยนิยมเปลี่ยนไปตลอดเวลา ในแง่นี้ ธุรกิจเหล็กย่อมเหมาะกับการลงทุนระยะยาวมากกว่าธุรกิจบันเทิง เพราะธุรกิจของบริษัทมีโอกาสที่จะล้มหายตายจากไปได้ยากกว่า ส่วนธุรกิจบันเทิงนั้น ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่เป็นเจ้าของรายการโทรทัศน์หรือเกมยอมฮิตในเวลานั้น ย่อมมีโอกาสน้อยที่บริษัทเดิมจะกลับมาประสบความสำเร็จซ้ำอีกครั้งกับรายการใหม่หรือเกมตัวใหม่ บริษัทที่ผลิตรายการฮิตซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างต่อเนื่องไม่ค่อยจะมี จึงมีเหตุผลน้อยที่เราจะถือมันไว้ในระยะยาวๆ เป็นต้น

2.ลักษณะธุรกิจของบริษัทเป็นแบบ Project-based หรือไม่?

ธุรกิจ Project-based เช่น รับเหมาทำระบบ ประมูลงานเป็นจ๊อบๆ เป็นธุรกิจที่มีความแน่นอนของรายได้ค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าโปรเจ็คมีอายุงานสั้น การได้โปรเจ็คในแต่ละปี ไม่ได้การันตีว่า ปีหน้าจะได้เหมือนเดิม จึงหวังได้น้อยถ้าหากจะถือไว้ในระยะยาวเพื่อให้รายได้เพิ่มขึ้นไปเรื่อยๆ ต่างกับธุรกิจแบบน้ำซึมบ่อทราย เช่น ขายยาสีฟัน เมื่อใดที่ลูกค้าชอบยี่ห้อของบริษัทแล้ว มีโอกาสสูงที่ลูกค้าจะกลับมาซื้ออีกเป็นประจำ ทำให้รายได้ของบริษัทมีความมั่นคง

อย่างไรก็ตาม ถ้าหากรายได้ของลูกค้าแต่ละรายคิดเป็นสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้รวม ธุรกิจ Project-based ก็ไม่ถือว่าน่ากลัว เพราะกฏของความมากช่วยทำให้รายได้รวมของบริษัทมีความแน่นอนได้ ตัวอย่างเช่น ธุรกิจพัฒนาโครงการบ้าน แต่ละโครงการอาจมีลักษณะเป็น Project แต่ถ้าหากแต่ละปีบริษัททำ 40-50 โครงการทุกปี รายได้ของบริษัทก็มีความแน่นอนในระดับหนึ่ง พึ่งระวังพวกธุรกิจ OEM ที่มีรายได้จากลูกค้ารายใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกคิดเป็นสัดส่วนเกินร้อยละ 50 ของรายได้รวม

3. สินค้าของบริษัทน่าจะมีความต้องการของตลาดสูงขึ้นในอนาคตเร็วกว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวมหรือไม่?

ประเด็นนี้มักพิจารณาได้จากเทรนด์หรือไลฟ์สไตล์ของสังคมที่เปลี่ยนไป อาหารแช่แข็งน่าจะเติบโตได้ดีถ้าสังคมมีลักษณะเป็นครอบครัวเดี่ยวและต้องใช้ชีวิตแบบเร่งรีบมากขึ้น ผู้คนในอนาคตน่าจะฟังวิทยุน้อยลง ในขณะที่ใช้อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือกันมากขึ้น ซื้อหนังสือพิมพ์เป็นเล่มๆ น้อยลง ซื้อรถยนต์คันเล็กลง ใช้ไฟฟ้าในสัดส่วนที่มากขึ้นเมื่อเทียบกับน้ำมัน ฯลฯ

4. บริษัทกำลังทำให้รายได้เติบโตได้ด้วยวิธีการใด และอะไรคือเพดานการเติบโตของบริษัท?

การเพิ่มรายได้นั้นมีหลายวิธี เช่น เพิ่มปริมาณการบริโภคของลูกค้าต่อราย เพิ่มจำนวนราย เพิ่มรายการสินค้า เพิ่มเขตการค้า เพิ่มสายธุรกิจ ซื้อกิจการ ฯลฯ วิธีแรกๆ นั้นจะมีความเสี่ยงต่ำแต่สร้างการเติบโตได้จำกัด ในขณะที่วิธีหลังๆ จะเติบโตได้เป็นกอบเป็นกำมากกว่า แต่ความเสี่ยงก็สูงกว่าด้วย ลองพิจารณาดูว่า บริษัทกำลังเติบโตด้วยวิธีใด และยังมีวิธีอื่นที่บริษัทยังไม่ได้เริ่มใช้หรือไม่ ถ้ายังมีอีกเยอะ บริษัทก็ยังมี Upside ทางธุรกิจอีกมาก เหมาะกับการลงทุนกับบริษัทในระยะยาว

ทุกธุรกิจจะมีบางสิ่งบางอย่างทำให้เกิด “เพดาน” การเติบโตของรายได้เสมอ ทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว การมองให้ออกว่าเพดานรายได้ของธุรกิจนั้นคืออะไรจะช่วยทำให้เราประเมินขนาดของ Upside ของธุรกิจนั้นได้ดีขึ้น

ตัวอย่างเช่น เพดานของธุรกิจโรงแรมในระยะสั้นคือจำนวนห้องพักทั้งหมด ธุรกิจโรงแรมไม่สามารถโตไปได้อีกเมื่อไรก็ตามที่ห้องพักเต็มแล้ว อย่างมากก็คือการขึ้นค่าห้องพักซึ่งทำได้ค่อนข้างจำกัด ธุรกิจโรงแรมจึงเป็นธุรกิจที่มีเพดานการเติบโตในระยะสั้นที่จำกัดมาก ในระยะยาว ถ้าทำเลของโรงแรมดีขึ้นมาก โรงแรมอาจก่อสร้างตึกเพิ่มเติม ทำให้โตต่อไปได้อีก แต่ก็จะไปติดเพดานที่จำนวนห้องอีกเหมือนเดิมอีก ที่ดินโรงแรมมักจำกัด ขยายได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ถ้าจะทำให้โรงแรมโตได้เรื่อยๆ ในระยะยาว บริษัทจะต้องมีนโยบายเปิดสาขาเท่านั้น Upside ของโรงแรมที่มีการเปิดสาขา กับไม่มี จึงไม่เท่ากัน

ธุรกิจการผลิตส่วนมากมี กำลังการผลิต เป็นเพดานรายได้ในระยะสั้น ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่ใช้กำลังการผลิตเต็มอยู่ Upside ในระยะสั้นก็แทบจะไม่มีเหลือแล้ว การขยายกำลังการผลิตจะต้องลงทุนเพิ่ม ทำให้ต้องนำประเด็นเรื่องการเพิ่มทุนมาพิจารณาร่วมด้วยเสมอ

5.ธุรกิจของบริษัทมีอะไรบ้างที่แตกต่างและเป็นข้อได้เปรียบ?

การที่บริษัทจะได้กำไรมากกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้น บริษัทจะต้องเป็นเจ้าของบางสิ่งบางอย่างที่แตกต่างและสิ่งนั้นสามารถใช้เป็นข้อได้เปรียบในธุรกิจนั้นๆ ได้ด้วย ถ้าเรานึกไม่ออกเลย ก็เป็นลางบอกเหตุว่า บริษัทนั้นมีคุณค่าต่ำ ยังไม่ต้องเปิดงบการเงินดูเลยก็ได้ ของแตกต่างที่ว่านี้จะเป็นสินทรัพย์ที่มีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้ ลองนึกออกมาให้หมด ยิ่งมีมากเท่าไรยิ่งเป็นสัญญาณดี

ตัวอย่างเช่น บริษัทเป็นเจ้าของเทคโนโลยีหรือ know-how ที่คู่แข่งไม่มี บริษัทมีตราสินค้าที่เหนือกว่า บริษัทมีฐานลูกค้ามากกว่าอย่างมีนัยสำคัญทำให้มีข้อได้เปรียบเรื่อง Scale การผลิต สำหรับบ้านเรา การที่บริษัทมีเส้นสายหรือคอนเนกชั่นที่ดี ก็เป็นข้อแตกต่างที่สำคัญมากอย่างหนึ่งด้วย พึ่งระวังพวกธุรกิจที่มีแค่เครื่องจักรเอามาตั้งแล้วเดินเครื่องเฉยๆโดยที่เป็นเครื่องจักรที่ใครมีเงินก็ซื้อมาตั้งได้ทั้งนั้น ธุรกิจอย่างนี้ยากมากที่จะทำกำไรได้จริง

ลองเช็คดูข้อได้เปรียบแต่ละอย่างว่า ถ้าคู่แข่งจะเลียนแบบบ้าง มันจะยากแค่ไหน ถ้าทำได้ง่ายมาก แสดงว่าข้อได้เปรียบนั้นไม่ดีจริง แต่ถ้าต้องเข็นครกขึ้นภูเขา แสดงว่าข้อได้เปรียบนั้นแข็งแกร่ง ดูด้วยว่า Key Success Factor หรือ Key Value Driver ของธุรกิจนั้นคืออะไร แล้วข้อได้เปรียบที่บริษัทมีอยู่นั้นเกี่ยวข้องกับ Key เหล่านี้มากน้อยแค่ไหน

6.อุตสาหกรรมของบริษัทเป็นอุตสาหกรรมที่รายใหม่กระโดดเข้าไปได้ง่ายแค่ไหน

พูดง่ายๆ ก็คือ มี Barrier to Entry ขนาดไหน ธุรกิจควบคุม ธุรกิจสัมปทาน ที่ขอใบอนุญาตใหม่ได้ยาก ย่อมดีกว่าธุรกิจเสรีทั่วไป ลองดูจำนวนบริษัทที่อยู่ในตลาดปัจจุบันว่ามีมากน้อยแค่ไหน ถ้ามีมากเป็นกองทัพมดเลย ก็น่าเป็นห่วง ถ้ามีแค่ 2-3 เจ้า ทั้งปีทั้งชาติก็มีอยู่แค่นี้แสดงว่าต้องมีอะไรบางอย่างกันไม่ให้เจ้าใหม่เข้ามาได้ง่ายๆ แบบนี้ดี หรือลองสังเกตว่าคู่แข่งทุกรายกำไรหมด แสดงว่าอุตสาหกรรมนี้ดี เข้ามาได้ก็กำไรแล้ว แต่ถ้าบางรายกำไร บางรายขาดทุน แสดงว่าอุตสาหกรรมนี้ไม่ค่อยดี คนที่จะได้กำไรต้องมีข้อได้เปรียบคู่แข่งเท่านั้น ลองสังเกตด้วยว่า ลูกค้าของธุรกิจนั้นเป็นอย่างไร ถ้าลูกค้าเป็นรายเล็กๆ จำนวนมากๆ บริษัทย่อมมีอำนาจต่อรองกับลูกค้าสูง เป็นสัญญาณดีอีกเช่นกัน

7.ฐานะทางการเงินของบริษัทเป็นอย่างไร?

อันนี้พิจารณาได้จากงบดุลเป็นหลัก ดูว่า ROA เฉลี่ยในรอบหลายๆ ปีสูงหรือต่ำ สัดส่วนหนี้สินต่อทุนสูงหรือไม่เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่ทำธุรกิจเดียวกัน การมีหนี้ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะช่วยประหยัดภาษีได้ ต้องมีหนี้มากผิดปกติเท่านั้นที่เป็นสัญญาณอันตราย ที่จริงแล้ว เราอยากลงทุนกับบริษัทที่โตพอสมควรโดยไม่ต้องอาศัยหนี้มากๆ เพราะจะเติบโตได้อย่างยั่งยืนมากกว่าพวกที่โตได้เยอะๆ ในระยะสั้น แต่แบกหนี้สูงไว้ตลอดเวลา พร้อมจะประสบปัญหาสภาพคล่องถ้าเศรษฐกิจสะดุด

นักธุรกิจที่ทำธุรกิจแบบรอบคอบนั้นจะเหลือ Lending Capacity เอาไว้ส่วนหนึ่งเสมอ เพื่อเวลาโอกาสในการลงทุนใหม่มาถึง บริษัทจะสามารถขยับตัวขอกู้เงินมาลงทุนเพิ่มได้ทันที บริษัทที่ขอกู้จนสุดขีดตลอดเวลา บ่งบอกถึงอุปนิสัยของผู้บริหาร และมีความเสี่ยงสูงที่จะประกาศเพิ่มทุนในอนาคตอันใกล้

8.บุคลิกขององค์กรเป็นอย่างไร

ทุกองค์กรจะมีบุคลิกประจำตัว ถ้าหากเราสัมผัสกับองค์กรนานพอ เราจะรู้ ถ้าเป็นองค์กรเล็ก บุคลิกจะขึ้นอยู่กับผู้บริหารค่อนข้างมาก ส่วนถ้าเป็นองค์กรใหญ่ บุคลิกจะขึ้นอยู่กับ Corporate Culture

ลองพิจารณาดูว่าบริษัทมีบุคลิกแบบ entrepreneurial หรือ bureaucrat มากกว่ากัน บริษัทที่จะเติบโตได้ดีควรมีวัฒนธรรมเป็นแบบแรกมากกว่า บริษัทยังแสวงหาการเติบโตอยู่เรื่อยๆ หรือว่าอยู่ในโหมดประคองตัว จ่ายเงินเดือน จ่ายปันผล ไปเรื่อยๆ ก็พอ แต่ละปีบริษัทมีอะไรใหม่ออกมาให้เห็นบ้าง หรือว่าไม่มีเลย โปรเจ็คเพิ่มรายได้ของปีนี้คืออะไร บริษัทตั้งเป้าหมายไว้ว่าอะไร ที่สำคัญลอง track อดีตว่า บริษัทเคยตั้งเป้าหมายไว้แล้วสามารถทำได้ใกล้เคียงบ่อยแค่ไหน การตรวจสอบผลงานในอดีตเป็นวิธีที่ดีกว่าการใช้ความรู้สึกตัดสินผู้บริหาร หรือฟังข่าวลือต่างๆ ที่สำคัญ ขนาดของหุ้นไม่ได้บ่งบอกวัฒนธรรมหรือโอกาสในการเติบโต

8 ประเด็นนี้ แม้จะไม่ได้ลงลึกมากนัก ก็ถือว่าเพียงพอแล้ว สำหรับการลงทุนแบบที่มีการกระจายความเสี่ยงร่วมด้วย ไม่จำเป็นที่จะต้องหาหุ้นที่ได้ A+ ในประเด็นเหล่านี้ทุกประเด็น เพราะเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราลงทุนในบริษัทที่ได้ B+ ในประเด็นเหล่านี้สัก 4-6 บริษัท กลับจะดีกว่า bet กับบริษัท A+ แค่เพียงแค่ 1-2 บริษัท เพราะยังไงเราก็ต้องเผื่อความผิดพลาดในการมองของตัวเราเองด้วยเสมอ จึงควรอาศัยภาพรวมของพอร์ตมากกว่าการพึ่งพาหุ้นเด็ดตัวใดตัวหนึ่งแค่ตัวเดียว

ที่สำคัญ ไม่ใช่วิเคราะห์แล้วซื้อทันที แต่ควรคัดหุ้นที่เข้าตาเก็บไว้ใน Watch List ของเราไว้ แล้วรอซื้อเมื่อมันมีราคาที่ไม่แพงจนเกินไป ถ้าทำได้อย่างนี้ เราก็จะสามารถสร้างพอร์ตลงทุนระยะยาวที่มีคุณภาพให้กับตัวเองได้แล้วล่ะครับ

วันเสาร์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคการถ่ายภาพบุคคลให้ได้ดี

เทคนิคการถ่ายภาพบุคคลให้ได้ดี
การ ที่เราจะถ่ายภาพบุคคล(โดยเฉพาะอย่างยิ่ง..นางแบบ)ให้ได้ดี..ให้ออกมาสวยเป็น ที่น่าพอใจ(ของตัวแบบเอง)นั้น
ตัวช่างภาพเองจะต้องคำนึงถึงเทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้..

*หมายเหตุ
ในที่นี้จะขอใช้คำว่า “นางแบบ” แทนบุคคลทั้งหมด


การทิ้งฉากหลัง หรือ ละลายฉากหลัง
ดีตรงที่จะทำตัวแบบเด่น ไม่มีฉากหลังรก ๆ มาแย่งสายตา
แต่ในบางกรณี..หากฉากหลังไม่แย่งสายตา หรือ เป็นลักษณะฉากหลังที่สามารถที่จะเล่าเรื่องราวได้ ก็ถือได้ว่าเป็นภาพที่สมบูรณ์เช่นกัน

แสงสีของฉากหลัง
แสงสีของฉากหลังที่ดี ก็คือ แสงสีของฉากจะต้องมืดกว่าค่าแสงเฉลี่ยของหน้านางแบบ และสว่างกว่าค่าแสงที่ผมส่วนมืดของนางแบบ
ในบางกรณี..เราจะอาจกำหนดให้ฉากหลังมีความสว่าง หรือ ชัด ก็ได้ ถ้าหากฉากหลังนั้นๆ มีความน่าสนใจ
(แต่ ถ้าหากฉากหลังนั้นมีลักษณะไม่สวยงาม ยุ่งเหยิง รวมทั้งจะไปแย่งความเด่นของตัวแบบไปโดยไม่จำเป็นแล้ว ก็ให้ใช้วิธีการละลายฉากหลัง หรือ เลี่ยง/หลบฉากหลังแทน)

อย่าให้ตัวแบบ/นางแบบกลายเป็นคนพิการ
กล่าว คือ ในถ่ายรูปบุคคลใดๆ พยายามอย่าทำให้นางแบบเป็นคนพิการเด็ดขาด นั่นคือ อย่าให้ปลายมือ ปลายเท้า ข้อศอกขาดพยายามเก็บเข้ามาในเฟรมให้หมด
แต่.. ถ้าหากจะตัดส่วนไม่เอาไว้ในเฟรมก็ต้องตัดให้เห็นว่าจงใจตัด เช่น ตัดสูงกว่าศอกและเข่า (แต่ประเภทเห็นทั้งตัว ยกเว้นนิ้วเท้าอย่างนี้ไม่ควรตัดอย่างเด็ดขาด)

อย่าให้ตัวแบบคอขาด
ถ้า ฉากหลังเป็นท้องฟ้า ทะเล ขอบฟ้า หรือ อะไรก็ตามที่มีเส้นนอน พยายามอย่าจัดให้พาดผ่านคอนางแบบเด็ดขาด เพราะจะทำให้ได้ภาพในลักษณะ “นางแบบคอขาด”

*จะให้ที่สุดดีควรจัดให้เส้นนอนอยู่สูงกว่าระดับศีรษะ หรือ ต่ำกว่าไหล่จึงจะทำให้ภาพดูดีขึ้น

การวัดแสงที่หน้าให้ โฟกัสไปที่ลูกตาเป็นสำคัญ

การถ่ายภาพใบหน้า “จะต้องเน้นถ่ายลูกตา : ลูกตาจะต้องชัดเสมอ”
ถ้าหากไม่ชัดก็จะต้องมีเหตุผลมารองรับว่า...ทำไมถึงไม่อยากให้ชัด

* ใบหน้าจะเป็นจุดแรกที่คนมอง ดังนั้นอย่างน้อยที่สุดเราจะต้องเซ็ทให้แสงที่หน้าพอดีเสมอ ยกเว้นในกรณีที่เจตนาให้มืด หรือ สว่างกว่าปกติ...แต่ก็ต้องมีเหตุผลมารองรับเสมอ

จะเลือกขวา หรือ ซ้าย ดี
"ปกติแล้วใบหน้าของคนเราทั้งสองซีก...สวยไม่เท่ากัน”
เรื่อง นี้ช่างภาพผู้ที่มีความพิถีพิถันจะต้องอาศัยการพินิจพิจารณาให้ดี ๆ หลังจากนั้นจึงค่อยพยายามวางกล้องให้อยู่ฝั่งที่สวยกว่า หรือ จัดแสงหลักให้อยู่ฝั่งที่สวยกว่า

ตาโตสิ..ดูดีกว่า
ดังที่กล่าวข้างต้นแล้วว่า “ใบหน้าของคนเราทั้ง 2 ซีก..สวยไม่เท่ากัน” …

คำถาม...แล้วเราจะสังเกตได้อย่างไรล่ะ?
คำตอบ…ใบหน้าซีกที่สวยกว่าดูไม่ยากครับ.. มีเคล็ดลับอยู่ว่า “ให้ดูที่ลูกกะตาเป็นสำคัญ”...หากลูกตาข้างไหนโตกว่า..ใบหน้าข้างนั้น คือ ก็มักจะเป็นข้างที่สวยกว่า
(อันนี้ถือเป็น “เคล็ดลับ” ที่จะมักรู้กันในหมู่ช่างภาพระดับเซียน ๆ ทั้งหลายนะครับ)

ให้แสงครึ่งหน้า
ในกรณีที่สภาพของแสงที่ตกกระทบบนใบหน้าทั้งสองฟากมีความต่างกันมาก ผลที่ออกมาก็คือ ซีกหนึ่งสว่างจ้า แต่อีกหนึ่งมืด
หากมีสภาพแสงในลักษณะนี้ ประการแรกให้ถามตัวแบบว่า ชอบสภาพแสงในลักษณะนี้หรือไม่
สภาพ ที่แหล่งกำเนิดแสงอยู่ด้านข้าง หากดูแล้วเห็นว่าจะทำให้ตัวแบบบถ้าดูแล้ว “ดูไม่ดี” เราสามารถกำหนดเทคนิคให้ตัวแบบหันหน้าเข้าหาแสงเล็กน้อยก็จะดูขึ้นมากที เดียว

อย่าให้นางแบบหน้ามืด
หากจำเป็นที่เราจะต้องถ่ายภาพ ย้อนแสง ก็ให้ Fill flash เพื่อลบเงา(เปิดแสง)ที่ตัวแบบ (ยกเว้นในกรณีที่เราต้องการในลักษณะ Silhouette ก็ว่าไปอย่าง)

เงยหน้านิดนึง..แล้วจะดี
กำหนดให้ตัวแบบเงยหน้าขึ้นนิดนึง ภาพจะออกมาดูดีกว่าหน้าตรง หรือก้มหน้างุด ๆ (ยกเว้นเจตนาให้ได้ภาพที่แสดงออกซึ่งอารมณ์อื่นใด?)

*เคล็ดลับหนึ่งในการดูว่าใบหน้าข้างไหนสวยกว่ากัน ก็คือ ให้สังเกตที่มุมปากเวลายิ้มของตัวแบบ
(มุมปากข้างไหนยกสูงกว่ากัน ก็ข้างนั้นแหละครับ)

ทิศทางแสง
หาก เป็นไปได้พยายามเลี่ยงแหล่งกำเนิดแสงซึ่งอยู่หน้าตรง ตรงหลัง ด้านบน ด้านล่าง ทั้งนี้เพราะแหล่งกำเนิดแสงในลักษณะนี้จะถ่ายภาพให้สวยยาก
(ยกเว้นภาพที่เจตนาให้เป็นเช่นนี้โดยเฉพาะ)

พยายาม กำหนดให้ทิศทางแสงเข้าด้านข้าง หรือ เฉียง ๆ (สภาพแสงธรรมชาติที่เหมาะสมดังกล่าว ก็คือ ในช่วงเวลาเช้าไม่ควรเกิน 8 โมงเช้า
และอีกช่วงหนึ่งก คือ ช่วงเวลาเลย 5 โมงเย็นไปแล้ว)

*หรือ อีกกรณีหนึ่ง ก็คือ พยายามเลือกสภาพแสงเกลี่ย ๆ นุ่ม ๆ เช่น ในสภาพแสงรำไร ใต้ชายคา หรือ ในวันที่ฟ้าครึ้ม หรือ ให้เกลี่ยแสงโดยใช้แผ่นรีแฟล็ก
หรือแก้โดยการ fill flash

(การ fill flash อย่างง่ายๆ ที่สุด กือ การนำกระดาษขาวมาทำเป็นกระบัง(ป้อง)ไว้เหนือ flash...และให้เงยหน้า flash ขึ้นด้านบน ประมาณ 45 องศา
...เป็นการแล้วยิง/สะท้อนแสงลงมา)

วัดแสงอย่างไร
ใน การถ่ายภาพบุคคล ควรเน้นการวัดแสงแบบเฉพาะจุดที่ใบหน้าเป็นสำคัญ หลังจากวัดแสงได้แล้วก็ให้แล้วกดปุ่ม AE ล็อคค่าแสงไว้ จากนั้นจัดองค์ประกอบใหม่
(หรือในกล้องบางรุ่นอาจมีฟังก์ชั่นพิเศษ เช่น มีระบบ FlexiZone (CANON) หรือ ฟังก์ชั่น Area (FUJI) เป็นต้น)

*ถ้าเปลี่ยนมุม หรือ ค่าแสงเปลี่ยน ก็ให้เล็ง แล้วกดล็อกค่าแสงใหม่

จะใช้เลนส์ช่วงมุมกว้าง หรือ ช่วงเทเล...ดี
การ ถ่ายภาพคนให้ดูดี มักนิยมใช้กันในช่วง 85-145 มม. ทั้งนี้เพราะในช่วงเทเลนั้นจะได้ภาพที่ดี ให้สัดส่วนสวยที่สุด รวมทั้งทิ้งฉากหลังได้ดี ให้อารมณ์ได้นุ่มนวลดี
เห็นนางแบบได้ชัดเต็มตา

*ในการถ่ายภาพบุคคลนั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องใช้กว้างสุดเสมอไป นั่นคือ ให้พิจารณาเลือกเอาตามความเหมาะสมเป็นกรณีๆ ไป
เช่น f/2.8-3.5 ในช่วง 50 มม. และ f/3.5-4.5 สำหรับช่วง 105 มม. เป็นต้น
ส่วนเลนส์อื่น ๆ ก็ให้อาศัยหลักการคำนวณคล้าย ๆ กัน เช่น ช่วงรับแสงกลาง ๆ ประมาณ 2 สต็อป จากกว้างสุด ถึง 2 สต็อปจากแคบสุด เป็นต้น


ประกายตา
“ยิ่งมีประกายตาวาววับ...ยิ่งสวย”... พยายามเลือกมุมถ่าย หรือ เปิดแฟลช หรือ ใช้รีแฟล็กช่วยบ้าง เพื่อให้ตามีประกาย

มุมสวย/ไม่สวย
แต่ ละคนมักจะมีมุมสวย และมุมไม่สวยประจำตัวอยู่ ช่างภาพมีความพิถีพิถันจะต้องมีเซนต์ตรงนี้ นั่นคือ “จะต้องพยายามหาจุดเด่นนี้ให้เจอ” เพราะนั่นคือ ตำแหน่งที่จะวางกล้องนั่นเอง

*ตำแหน่งยอดนิยมในการวางกล้อง ก็คือ ตำแหน่งระดับปลายจมูกของนางแบบ หรือ สูง/ต่ำกว่าไม่มากนัก ไม่เกินตา และปาก ยกเว้นในกรณีหากพิจารณาแล้วเห็นว่า
“นางแบบมีมุมสวยเป็นพิเศษ” หรือ “มีส่วนจะต้องหลบ/เลี่ยงเป็นพิเศษ” ก็อาจจะต้องกด หรือเงยกล้อง เข้าช่วย


“มุมมหาชนสำหรับถ่ายภาพนางแบบ ก็คือ มุมหน้าเฉียง” ตำแหน่งวางกล้อง ก็คือ ให้เล็งไปที่แนวแบ่งครึ่ง ระหว่างสันจมูก และดวงตา...มุมนี้ส่วนใหญ่มักจะสวย

ก้มนิด เงยหน่อย
จะ ถ่ายมุมก้ม หรือเงย ดี...ไม่ได้ถือเป็นกฎตายตัวแต่อย่างใด ทั้งนี้ให้พิจารณาถึงปัจจัยเอื้ออย่างอื่นด้วย กล่าวคือ “ให้พิจารณาถึงโครงหน้าของนางแบบเป็นสำคัญ”

*หลักการ ก็คือ อะไรไม่สวยก็ผลักไปให้ไกล ๆ จากกล้อง เช่น ถ้าคางไม่สวย หรือ กรามกว้าง...ก็ให้ก้มหน้านิด ๆ นึง จะได้ไม่เห็นกราม หรือ
ผู้ที่หน้าผากเถิก...ก็ให้เงยขึ้นมาหน่อย เป็นต้น


เคล็ดลับ : การก้มหน้าจะทำให้ตาโต และอยู่ใกล้กล้อง ซึ่งจะเป็นจุดดึงดูดสายตามากขึ้น

ที่ควรปิดก็ให้ปิด... ที่ควรเปิดก็เปิด
เช่น
“มีช่วงโหนกแก้มสูง หรือมีกรามกว้าง”.....ก็ให้ดึงผมลงมาปิดข้างแก้มสักหน่อยก็ดี หรือว่า ให้นางแบบหันข้างหลบเอาไหล่บังนิดนึง หรือ ให้เอียงหน้าหน่อยก็จะดูดีขึ้น

“หูกาง...จะดูแล้วเด่นเกินไป” ก็ให้เกลี่ยผมลงมาปิดซะหน่อย หรือ จะใช้เทคนิคนิคเบี่ยงข้างหลบมุมไป
(อย่าให้เห็นพร้อมกันทีเดียวทั้งสองข้าง)

“แก้มป่อง” กรณีนี้จะดูเป็นราย ๆ ไป เช่น บางคนถึงแก้มป่องแต่ก็น่ารัก ก็ให้เสยผมเปิดแก้มป่องไปเลยเพราะจะยิ่งช่วยเพิ่มความน่ารักขึ้นไปอีก

ไม่ใช่ผู้พิการทางสายตานะ
ไม่ควรให้นางแบบใส่แว่นตาดำถ่ายภาพอย่างยิ่ง แต่อาจจะเลี่ยงได้ก็โดยให้ดันขึ้นไปเหน็บบนศรีษะแทน
(ในบางครั้งยังจะช่วยให้นางแบบดูสวยเก๋ เท่ห์ไปอีกแบบ..ก็ได้)

หนูไม่ใช่ภาพการ์ตูนถมดำนะ
“นางแบบไม่ใช่ตัวการ์ตูน” ดังนั้นจึงไม่ควรให้เห็นเส้นผมในลักษณะดำเป็นปื้นๆ (จะต้องให้เห็นเส้นผมของนางแบบเป็นเส้นๆ)
หาก ว่า..มองแล้วเห็นผมดำเป็นปื้น “ก็ให้จัดแสงใหม่” โดยพยายามจัดแสงให้อยู่ในตำแหน่งให้แสงกระทบผมให้ดี หรือ อาจจะใช้วิธีการหรี่ช่องรับแสงลงนิดนึงเพื่อให้ผมเป็นเส้น.

ลองใช้เทคนิค Rim Light
จาก การวิจัย ได้บ่งบอกว่า การใช้เทคนิค Rim Light นี้...จะช่วยทำให้ตัวนางแบบดูดีขึ้น สวยขึ้น 18.75% รวมทั้งจะทำให้ผมสวยขึ้น 33.29%... (ว่าไปนั่น)

ไม่ใช่ทำบัตรประชาชนนะ
ควร หลีกเลี่ยงการถ่ายแบบตรง ๆ เหมือนถ่ายรูปติดบัตรประชาชน ทั้งนี้เพราะการที่จะถ่ายมุมหน้าตรงให้สวยนั้นเป็นเรื่องค่อนข้างยาก แต่หากถึงจะถ่ายมุมตรงก็สวย
มุมอื่นก็มักจะถ่ายได้สวย ดังนั้น ก็ลองเปลี่ยนมุม หรือ ลองหามุมสวยอื่น ๆ ดูบ้าง

Properties
ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงเรื่องคุณสมบัติอะไรหรอกนะ แต่..หมายถึงอุปกรณ์ประกอบฉากนั่นเอง
ดัง เช่น ดอกไม้ เครื่องประดับ หนังสือ กระเป๋า หมวก ตุ๊กตา หมอนอิง รวมถึงอุปกรณ์อื่นใด โดยพยายามเลือกอันที่ดูแล้วน่ารัก ๆ เหมาะกับนางแบบ และเหมาะสมกับสถานที่

เคล็ดลับ : อุปกรณ์ประกอบฉากเหล่านี้ ถ้าหากให้นางแบบได้ถือ อุ้ม หิ้ว หรือ อิง แอบ แนบ หรือวางไว้ข้างๆ แนบตัว ก็จะทำให้นางแบบไม่รู้สึกขวยเขินเขินมากเกินไปนัก
อีกทั้งยังจะเป็นการช่วยสร้างบรรยากาศ และเรื่องราวได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย


ถ่ายคร่อม

อิ อิ...ไม่ได้หมายถึง ช่างภาพขึ้นคร่อมนางแบบแล้วจึงถ่าย แบบ Clip ที่กำลังแพร่หลายอยู่ตอนนี้หรอกนะ
แต่... ความหมายในที่นี้ หมายถึง “การถ่ายคร่อม” โดยการใช้หลักการง่าย ๆ นั่นก็คือ ใช้หลักการการวัดแสงอย่างง่าย ๆ โดยการวัดแสงแบบพื้นๆ
นั่นคือ การวัดแสงที่หน้าหน้าสว่างพอดี ๆ โอเวอร์นิด และ อันเดอร์หน่อย ๆ

หมายเหตุ 1 :
ความหมายของคำว่า “ถ่ายคร่อม” ในอีกนัยหนึ่ง จะหมายรวมไปถึง “การถ่ายคร่อมแอ๊คชั่นของนางแบบ” นั่นคือ เวลาโพสท่าด้วย เช่น ให้ตั้งเป็นถ่ายต่อเนื่อง
หรือ ถ่ายเป็นชุด ชุดละอย่างน้อย 2-3 รูป ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการเลือกแอ๊คชั่นและอารมณ์ที่ดีที่สุดนั่นเอง

* พยายามหมุนกล้องทั้งแนวตั้ง/แนวนอน ซูมเข้า/ออก เปลี่ยนองค์ประกอบ ขยันขยับย้ายจุดวางกล้องซ้าย/ขวา บน/ล่าง กด/เงย หรือ ลองย้ายตำแหน่งวางกล้อง
เพื่อที่จะหามุมสวยมุมอื่นดูบ้าง และ/หรือ อาจหมายรวมไปถึง..อาจจะลองย้ายตำแหน่งนางแบบ หรือ ย้ายตำแหน่งตัวช่างภาพเอง หรือ ย้ายไปยังฉากหลังอื่น ๆ ดูบ้าง


หมายเหตุ 2 :
การ ถ่ายภาพในลักษณะเช่นนี้...ช่างภาพจงอย่าได้ขี้เหนียวหน่วยความจำ(ฟิล์ม)จน เกินไปนัก ทั้งนี้เพราะเราอาจจะได้ภาพที่เรารู้สึกพอใจจริง ๆ
เพียงไม่กี่ภาพเท่านั้นจากหลาย ๆ ภาพนั้นก็ได้ รวมทั้งโอกาสที่จะเอื้อให้ได้ถ่าย..ก็ใช่ว่าจะมีร่ำไป ก็หาไม่

การโพสท่า
พยายาม จัดวางท่าทางของนางแบบให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด ให้ดูแล้วไม่รู้สึกว่าขัดๆ ขืนๆ หรือ ดูว่าเจตนาจนเกินไป....ไม่งั้นจะทำให้ภาพที่ออกมาจะดูแข็งกระด้าง ฯลฯ

เคล็ดลับ : ลองหาจังหวะดี ๆ และใช้การถ่ายแบบ Candid ดูบ้าง เพราะการถ่ายในลักษณะนี้มักจะถ่ายทอดอารณ์ได้กลมกลืน ดูดี...ไม่น่าเบื่อ

แต่งตัว แต่งหน้าซะหน่อย
หาก เป็นไปได้พยายามแต่งตัวให้เข้ากับบุคลิกของนางแบบ และให้ตัวแบบได้ปัดหน้าทาแป้ง ฯลฯ บ้าง ทั้งนี้เพราะอย่างน้อยที่สุดการแต่งหน้าก็เพื่อกลบจุดด้อยบนใบหน้า
..ไม่ให้ เด่นเกินไป นั่นเอง

คุยกันก่อน
ก่อนที่จะเริ่มถ่ายภาพ ช่างภาพที่มีเซนต์ซะหน่อย ควรจะชวนนางแบบสนทนาพูดคุยซะก่อน เหตุผลก็เพื่อไม่ให้นางแบบรู้สึกเขินอาย หรือรู้เกร็งจนเกินไป
(ซึ่งอาจจะแสดงท่าทางออกมาอย่างไม่เป็นธรรมชาติระหว่างการถ่ายภาพ)
รวมทั้งและจะได้ทำความเข้าใจกันด้วยว่าจะให้รูปออกมาสไตล์ไหน อารมณ์ไหน

................

ที่ จริงยังมีหัวข้อยิบย่อยอันเป็นสาระสำคัญเกี่ยวกับการถ่ายภาพบุคคลอีกหลายหัว ข้อ...แต่..อาจจะดูลึกเกินไปสักนิดนึงสำหรับผู้ที่จะเริ่มเรียนรู้การถ่าย ภาพ....
จึงขอนำมาฝากกันเพียงเท่านี้ล่ะกัน เนอะ

เครดิตบทความ โดยคุณ Peesuh จากเว็บบอร์ด siam freestyle
กระทู้ http://www.siamfreestyle.com/forum/index.php?showtopic=733

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

essential abs goal

เป้าหมายระยะสั้น คือ ต้องเล่นกล้ามท้อง สลับกับ จ๊อกกิ้ง ทุกว้น หยุดสัปดาห์ละหนึงวัน เป็นเวลาติดกันอย่างน้อย หก สัปดาห์

เป้าหมายระยะกลาง คือ น้ำหนักที่ชั่งตอนเช้า ของวันที่ 10 มิถุนายน ต้องน้อยกว่า 73 kilo
รอบเอว ต้องน้อยกว่า 32 นิ้ว
วัดผล สัปดาห์ละครั้ง ทุกวันอาทิตย์ จดบันทึกไว้บนตู้เย็น
ถ้าทำไม่ได้ ต้องจ่ายเงินให้อ้อมฟรีๆ 30000บาท

เป้าหมายระยะยาว คือ ในวันที่19 ตุลาคม 53 มี six packs มีสุขภาพแข็งแรง และมีกล้ามเนื้อสมส่วน
วัดผล โดยการถ่ายรูปความก้าวหน้า(ถอดเสื้อ) เดือนละหนึ่งครั้ง ทุกวันอาทิตย์แรก ของเดือน แล้วติดรูปไว้ที่ตู้เย็นข้างล่าง

15 feb 10

ตื่นเช้า ต้องไปส่งวุ่นเอง อ้อมไปบิน รถดันแบตหมด ต้องเรียกรถแท็กซี่ หมดไปสองร้อย ทั้งไปและกลับ
ไปส่งน้องวุ่นที่รร ครูเอ้บอกว่า ยังหากระติกน้ำสีฟ้าลาย โลลาแอนด์สติทช์ไม่เจอ

ซ่อมก็อกน้ำห้องน้ำข้างล่าง ลงทุนไป ดังนี้ stopvalve ยี่ห้อ ซันวา ทำจากทองเหลือง 70 บาท
เทปพันท่อน้ำ 20 บาท ต่อเชื่อมต่อทองเหลือง 40 บาท(ต้องซื้อเพิ่ม เพราะ ท่อเดิมที่ฝังในผนังมันสั้นเกิน)
พ่อสุนช่วยทำด้วย ปรากฏว่า stopvalve อันเก่าหักคามือ น้ำไหลนองพื้นห้องน้ำ ต้องปิดวาล์วหน้าบ้านสองอัน แล้วต้องถอดปลั๊กปั้มน้ำสองปั๊ม ปิดวาล์วน้ำที่ปั๊มทั้งสี่วาล์ว เพราะไม่รู้ว่าอันไหน รวมถึงปิดสวิตช์ปั๊มน้ำที่อยู่ในบ้านด้วย ใช้เครื่องมือพิเศษเพื่อเอาสต๊อปวาล์วที่หักคาด้านในออก พ่อสุนใช้สิ่วตอกเข้าไปข้างในท่อแล้วจับด้วยประแจล็อก แล้วจึงหมุนออกมาได้ ตอนเอาฝาครอบออก ดันโง่ นึกว่าต้องไปสกรูด้านบน จริงๆแล้ว ไม่ต้อง มันคล้องไว้เฉยๆ ไขแค่ด้านล่างก็พอ

ร้านพลังแสงแบตเตอรี่ เปลี่ยนแบตรถเชฟ ยี่ห้อโบลีเด็น ระบายอากาศด้านข้าง ต้องต่อท่อสายยางเล็กออกมา ช่างจัดให้ จ่ายไป 2600 เป็นแบต ขนาด 65 amps ที่ติดมากับรถ ขนาด 55 amps

เครื่องทำน้ำอุ่นห้องนอน pressure switch น้ำรั่วออกมา ต้องเรียกช่างไฟฟ้ามาดู

ดูดีวีดี เรื่อง รถไฟฟ้ามาหานะเธอ สนุกดี

ตอนบ่ายสอง จ๊อกกิ้งที่บ้าน 20นาที
ไปรับน้องวุ่น เติมน้ำมันที่ปั๊มปตท ทหารบก ในซอยสนามบินเล็ก 26 ลิตร คำนวนแล้ว 11.4 กิโลต่อลิตร
ตอนห้าโมงเย็น เล่นskate ที IT กับน้องวุ่น เจอน้องนน(ตัวสูง) กับน้องไท(คุยเก่ง) พี่นุ่ม(น้องผู้หญิง)

กินเอ็มเคกับวุ่น อ้อม อาเตี้ย หมดไป 613 บาท ลดแล้วบัตรเอ็มเคพลาตินั่ม 10 % จ่ายเงินสด